เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๖ นักศึกษาหลักสูตรเสริมเสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ ๑๓ (๔ ส. ๑๓) สถาบันพระปกเกล้า จัดกิจกรรมวิชาการสาธารณะ ภายใต้หัวข้อ “วิถีชีวิต วัฒนธรรม การเมือง และความยั่งยืน กับช่องว่างระหว่างวัย” จัด ณ ห้องประชุม NT GRAND BALLROOM บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพ เวลา ๑๒.๐๐-๑๗.๐๐ น. ในงานมีการแสดงผลงานวิชาการ ๘ กลุ่ม มีการแสดงวิถีชีวิต วัฒนธรรม การเมือง และความยั่งยืน กับช่องว่างระหว่างวัย พร้อมมีวีดีทัศน์นำเสนอวิถีชีวิต วัฒนธรรม การเมืองและความยั่งยืนกับช่องว่างระหว่างวัยอย่างอลังการ จากนั้นนายแพทย์ตุลกานต์ มักคุ้น ประธานนักศึกษา ๔ ส. ๑๓ กล่าวที่มาและวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมวิชาการสาธารณะโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอกิจกรรมวิชาการสาธาณะของนักศึกษาหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข ในมิติช่องว่างระหว่างช่วงวัย ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมได้ จึงรวบรวมผลงานวิชาการเพื่อนำเสนอผลงานวิชาการต่อสาธารณะอันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ได้รับเกียรติอย่างยิ่งจากนายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวเปิดงานกิจกรรมวิชาการสาธารณะ โดยมีประเด็นสำคัญว่า สถาบันพระปกเกล้าเป็นหน่วยงานอิสระที่พัฒนาผู้นำในสังคมไทย ซึ่งหลักสูตร ๔ ส. เป็นหลักสูตรระดับสูงของสถาบันพระปกเกล้า เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างและมีความเป็นพหุสังคม โดยเฉพาะช่วงวัยที่มีความแตกต่าง จึงต้องพัฒนาคนมาเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันเรามีปัญหาเรื่องการเมือง จึงมีเวทีวิชาการเพื่อมองปัญหาแก้ปัญหาร่วมกัน สถาบันพระปกเกล้าจึงเป็นสถาบันที่พัฒนาผู้นำออกสู่สังคมให้เกิดสันติสุขต่อไป จากนั้นมอบของที่ระลึกและถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน
จากนั้นในเวทีวิชาการสาธารณะมีการนำเสนอหัวข้อ การเมืองกับความเห็นต่างระหว่างวัย โดย ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีประเด็นสำคัญว่า ตอนนี้เราขัดแย้งทางความคิด หลักสูตร ๔ ส. จึงเกิดขึ้นเพราะสังคมมีความขัดแย้ง แท้จริงความเห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดา เห็นตรงกันข้ามเป็นเรื่องธรรมดา จึงมีปรากฎการณ์ขึ้น ๓ ประเด็น ประกอบด้วย ๑)เห็นต่างกันได้ขอให้รักกัน ๒)ไม่รักกันแต่เข้าใจกัน ๓)ไม่รักกัน แต่มีความเห็นต่างกัน แต่ต้องเคารพกัน เราบังคับคนให้รักกันไม่ได้ แม้แต่เรื่องศาสนาเห็นต่างกันได้แต่ต้องเคารพกัน
จึงต้องแยกความเท็จกับความจริงให้ชัดเจน เราทุกคนมีเครื่องมือการสื่อสารเข้าถึงได้ชัดเจน ทำให้เกิดข่าวสารเท็จ เกิดข่าวลวงหวังผลทางการเมือง คำถามเราจะสามารถเลือกนายกฯได้หรือไม่ เพราะเรามีความแตกแยกกันชัดเจน เราแก่แค่ทางกายภาพแต่จิตใจยังรุ่นใหม่ แต่สิ่งสำคัญต้องอยู่ร่วมกันภายใต้กติการ่วมกัน แท้จริงคนแพ้ต้องยอมรับความจริง พรรคอันดับหนึ่งควรจัดตั้งรัฐบาลแต่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงแยกความเห็นกับความจริง กติกาจะต้องเป็นธรรม ประชาชนจึงพูดประโยคที่ว่า “ไม่เป็นไร สี่ปีพวกเรารอได้” ประชาชนมองว่า “การเมืองเป็นละครมากกว่ายิ่งกว่าละครในทีวี” ทำให้ประชาชนตื่นตัวอย่างจริงจัง ย้ำสุดท้ายว่า ขอให้ฟังเสียงประชาชนเพราะประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ
นายแพทย์ตุลกานต์ มักคุ้น ในฐานะประธาน ๔ ส. ๑๓ สะท้อนประเด็นสำคัญว่า ความเห็นทางการเมืองในชนบทกับในเมืองมีคุณค่าแตกต่างกัน ซึ่งผลการเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครเราจะได้คนรุ่นใหม่ที่ชัดเจนมาก แต่ในเขตชนบทจะเห็นคนรุ่นเก่า จึงต้องสร้างสันติสัฒนธรรมผ่าน ๔ ส. ประกอบด้วย ๑)การสื่อสารสันติวิธี ๒)สร้างสัมพันธภาพ ๓)หาทางออกอย่างสร้างสรรค์ ๔)รับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน จึงต้องให้คนรุ่นใหม่มามีส่วนร่วมอย่างจริงจังเพื่อลดช่องว่างระหว่างวัย เมื่อเกิดความขัดแย้งจงอย่าสิ้นหวังแม้เกิดส้ม เหลือง แดง ซึ่งมีทางออกอย่างแน่นอน